วิภาวี จุลสำรวล Citizen Reporter of The Isaan Record
หมายเหตุ : สารคดีชิ้นนี้อยู่ในโครงการ Journalism that Builds Bridges

แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในอาคารสถานีรถไฟจังหวัดขอนแก่น ผู้คนมากมายรายล้อมยืนรอซื้อตั๋วเพื่อไปยังจุดหมายที่แตกต่างของตัวเอง

หนึ่งในนั้น คือ สมร พมรลี หรือ ตึ่ง หญิงวัย 61 ปี ที่ต่อแถวซื้อตั๋ว พร้อมกับตะกร้าและหาบสองฝั่งแขน ในตะกร้าทั้งสองใบมีขนม ซึ่งเป็นเงินที่เธอลงทุนไปกับสินค้าที่คาดว่า วันนี้จะขายพวกมันหมด

สมพรขายของบนรถไฟมานานกว่า 20 ปี อาศัยอยู่อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น แต่ใช้ชีวิตบนรถไฟเหมือนบ้านหลังที่สอง เพราะเป็นแหล่งทำมาหากินที่เลี้ยงดูครอบครัวเธอมาแสนนาน 

เริ่มต้นชีวิตบนรถไฟด้วยการขายฝักบัว

ตึ่งเข้าสู่อาชีพนี้ด้วยการนำฝักบัวจากบ้านมาขายบนรถไฟ แต่ก่อนขายเฉพาะช่วงกลางวัน แต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนมาขายทั้งกลางวันและกลางคืน 

“วันนี้มาขายขนมที่ขอนแก่น เพราะบนรถไฟเค้าไม่ให้ขายละนะ”เธอเล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสมือนหนึ่งยอมรับชะตากรรม 

พิษโควิดสั่นคลอนคนหาบแร่บนรถไฟ

หลังพิษของโรคระบาดโควิด 19 ทำให้มีมาตรการในการควบคุมโรคระบาด โดยห้ามผู้โดยสารรับประทานอาหารและน้ำดื่มบนรถไฟอีกทั้งยังห้ามขายอาหารและเครื่องดื่มบนรถไฟอีกด้วย จนทำให้ผลกระทบมาตก

นายสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง เล่าว่า ก่อนที่จะมีอาชีพนี้การรถไฟฯ ก็ไม่ได้อนุญาตตั้งแต่แรก แต่เป็นการขึ้นไปขายกันเอง เนื่องจากการรถไฟฯ มีตู้เสบียง มีตู้ขายของอยู่แล้ว โดยจะอนุญาตแค่ผู้ประกอบการที่เขาประมูลกับรถไฟ แค่นั้น

“แต่เมื่อ 7 ม.ค 2564 กรมอนามัยกระทรวงสาธารณะสุขออกแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันการระบาดของ Covid-19 การรถไฟฯ จึงงดการเดินรถบางเที่ยวและงดการขายสินค้าบนรถไฟไปโดยปริยาย”เขากล่าว

นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้สมรต้องปรับตัว ด้วยการเพิ่มการขายของตอนกลางคืนด้วย ซึ่งทำแบบนี้มาแล้วประมาณ 4 ปี

เมื่ออาชีพเดียวที่สร้างรายได้ถูกสั่งห้ามในชั่วข้ามคืน “ขายไม่ได้ ไม่ให้ขาย” 

จากเสาหลักสู่การค้นหาเส้นทางใหม่

ความหวังสุดท้ายในการเลี้ยงดูอีก 7 ชีวิตกับอาชีพคนขายของบนรถไฟจึงกลับกลายเป็นอดีต

เพราะเธอถือเป็นเสาหลักของบ้าน จึงจำต้องรับภาระทั้งหมดไว้เพียงคนเดียว

“ไม่ขายของ ก็ไม่รู้จะทำอะไร”อดีตแม่ค้าขายของบนรถไฟกล่าวด้วยความสิ้นหวัง

“ทำมาตั้งนานแล้ว รายได้ดีเลยนะ คนใจดีเยอะ ก็มีคนอยากช่วยซื้อเยอะเลย”เธอเล่า

แต่เมื่อไม่อนุญาตให้ขายของบนรถไฟแล้วแสงสุดท้ายก็เริ่มดับลง

การหาบคอนตะกร้าไม้ไผ่ที่หนักอึ้งในวัยชราทำให้ผู้คนอุดหนุนเธอด้วยความสงสารและเห็นใจ หลายคร้ังเธอจึงได้รับน้ำจิตน้ำใจจากผู้คนรายทาง

“เค้าให้ตังค์ แม่ก็ไม่เอา ในเมื่อเค้าไม่ซื้อของ เราก็ไม่เอาของเขา” เสียงที่แหบพล่าของหญิงวัย 61 ปี เล่าถึงผู้คนรายวันที่เธอได้พบเจอ

เมื่อรายได้ลดลง

อาชีพขายของบนรถไฟเป็นอาชีพที่ผู้คนเดินทางโดยรถไฟจะพบเห็น แม่ค้าพ่อค้าหาบเร่อาหารเครื่องดื่มขึ้นมาเดินขายตั้งแต่ท้ายขบวนยันต้นขบวน มีทั้งอาหารกล่องสำเร็จรูป น้ำดื่มน้ำหวานน้ำอัดลม กาแฟร้อน กาแฟสด ผลไม้ ไปจนถึงเครื่องดื่มชูกำลัง 

“รายได้ต่อวันจะลงไปเลย 1,000 บาท ยอดที่ได้ประมาณ 3-4 พันต่อวัน ถ้าขายไม่ดีจะเหลืออยู่ประมาณ 1-2 พัน” ลูกค้าส่วนใหญ่รู้จักเธอบางทีจึงให้เงินด้วยความสงสาร500-1,000 บาท ก็มี หรือบางคนก็ซื้อข้าวและน้ำให้กิน

พิษจากโรคระบาดไม่เพียงส่งผลต่อแม่ค้าที่ขายของบนรถไฟเท่านั้น ผู้โดยสารบางคนที่ต้องการทานอาหารบนรถไฟ เนื่องจากเร่งรีบไม่มีเวลาเตรียมตัวก่อนออกจากบ้าน โดยหวังจะซื้ออาหารระหว่างเดินทางก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

“มันก็สะดวก ถ้าสมมติว่า วันนั้นเป็นวันที่เรารีบมากและต้องเดินทางเช้า ส่วนตัวเป็นคนที่ต้องกินข้าวก่อนออกเดินทางตลอด เพราะหากท้องว่างจะเมารถ” พิมพ์นารา นาคำ หรือปราย นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่โดยสารรถไฟเป็นประจำกล่าวถึงการหายไปของอาชีพหาบเร่

หาบเร่ อาชีพที่เสี่ยงถูกคนด่าและรำคาญ

อาชีพขายของบนรถไฟเป็นอาชีพที่ต้องใช้เสียงในตะโกนเรียกลูกค้าเพื่อขายของที่แข่งกับเสียงดังของรถไฟที่ดังเป็นทุนเดิม ผู้โดยสารหรือบางคนที่ต้องการพักผ่อนก็ยังต้องมาฟังเสียงพ่อค้าแม่ค้าที่ตะโกนเรียกให้ซื้อของตลอดเส้นทาง

“รำคาญบ้าง เนื่องจากเราเดินทางสั้นๆ ไม่ได้ต้องการซื้อของอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่เดินทางไกลก็อาจจะสะดวกต่อเขา” กอล์ฟ อนุชา (ไม่ขอเปิดเผยนามสกุล) เล่าความรู้สึกที่มีต่ออาชีพขายของบนรถไฟ

“ไม่ค่อยรำคาญนะ เพราะเขาขึ้นมาขายตามเวลาแล้วก็ลง แต่ก็จะมีรำคาญบ้างเวลาที่เรารีบแล้วต้องหลบให้เขาวิ่งขึ้นมาขายของ” ปราย พิมพ์นารา พูดถึงความรู้สึกของตนเมื่อพบเจอคนขายของบนรถไฟ

อาชีพที่ได้เงินน้อย เวลาพักผ่อนก็หายาก อีกทั้งยังเสี่ยงถูกคนด่าว่าเวลาเดินขายของ 

ภาระกิจ ภาระใจ

แม้ว่า เธอจะปรับตัวกับโรคระบาดได้ทัน แต่เส้นทางการใช้ชีวิตของ “สมร” ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เมื่อรู้ว่า หลานคนโตที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจหลงผิดไปใช้ยาเสพติด จนทำให้เธอเสียใจและผิดหวังอย่างยากจะอธิบาย

“แม่มาขายของ แม่นั่งร้องไห้เลยนะ นั่งร้องไห้ 2 วัน 3 วัน เพราะรับไม่ได้” เธอเล่าด้วยความเจ็บปวดที่แสดงออกมาทางแววตา

แม้ตอนนี้หลานคนโตจะได้เข้ารับการบำบัดที่สถานบำบัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดขอนแก่นแล้ว แต่ก็ยังไม่ทำให้เธอหายกังวล 

“จะให้ดีเหมือนเดิมมันเป็นไปไม่ได้อะ เพราะว่าแก้วมันร้าวแล้ว จะให้ดีอย่างเดิมมันเป็นไปไม่ได้หรอกลูก” ตึ่งเล่าพร้อมกับถอนหายใจ 

ซ้ำร้ายภาระใจของตึ่งอีกเรื่อง คือ ต้องดูแลสามีที่พิการขาหนึ่งข้าง เดินไม่ได้ ต้องใช้รถเข็นอย่างเดียว

“รถเข็นเขาก็เอามาให้ แต่ตาก็ไม่นั่ง จะขี่แต่สามล้อ” ตึ่งเล่าถึงสามีที่รัก แม้ต้องรับผิดชอบชีวิตผู้คนในครอบครัวหลายคน แต่เธอไม่เคยปฏิเสธหน้าที่เสาหลักของครอบครัว แต่กลับยินดีที่จะดูแลทุกคนในครอบครัวด้วยใจจริง

การต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวที่เจ็บปวดและติดยาเสพติดทำให้มีหนี้สินพัลวันเป็นหางว่าง แต่เธอก็ยังยิ้มเมื่อพูดถึงครอบครัว

“หนี้สินภายในบ้านยายก็เป็นคนรับผิดชอบหมดนะ ไม่ว่าจะนอกระบบ ในระบบ ก็ใช้ให้หมด หลานอีก 4 คน หรือ 7 คน ยายเลี้ยงได้” เมื่อสามีเจ็บป่วยภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดในบ้านตกมาเป็นของตึ่ง 

แม่ค้าหาบเร่ ที่มีเสน่ห์เรื่องเสียงร้อง

อาชีพขายของไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อก่อนเคยขายดี ใช่ว่าจะขายดีทุกวัน เคยขายไม่ได้ก็ใช่ที่จะขายไม่ได้ไปตลอด แต่ในวันที่ขายของไม่ดี พ่อค้าแม่ค้าบางคนก็คงจะมีวิธีรับมือหรือแผนสำรองเพื่อควักมาใช้และช่วยให้ตนขายของหมด

ตึ่ง คือ หนึ่งในแม่ค้าที่อาวุธลับหลากหลาย ไม่ว่าจะขายได้หรือขายไม่ได้เขาก็ไม่เคยคิดที่จะเอาเปรียบลูกค้าแถมยังตอบแทนลูกค้าให้คุ้มกับเงินด้วยความรักและความซื่อสัตย์จริงใจ

“แม่ชอบร้องเพลง ใจแม่ปรารถนาทุกวันนี้นะ ถ้าแม่ขายของไม่ได้ ทำงานกลางคืนไม่ได้ แม่ก็อยากจะไปร้องเพลง” เธอเล่าและว่า  “จริงๆ แล้วเป็นคนชอบร้องเพลง เพราะว่า เวลาไปตามสถานที่ต่างๆ เวลาไปขายขนม มักจะมีคนให้เงินมาเยอะเกิน 400 – 500 บาท แม่ก็จะร้องเพลงให้ฟัง เพื่อเป็นความสุขเล็กๆ ที่อยากมอบให้กับลูกค้า” 

“ยายได้เงินครึ่งตะกร้า บางวันได้ 3,000 บาท จากการร้องเพลงนะ” เธอเล่าด้วยความภาคภูมิใจ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลงานไหม  จ.ขอนแก่น เธอได้มีโอกาสไปขายขนมที่นั่น และได้ขึ้นโชว์เสียงร้องเพลง

“บ้างก็ให้ติ๊บมั่ง ซื้อของมั่ง ชอบร้องเพลง”

เสียงร้องแหบเสน่ห์ของเธอทำให้คนที่ได้ฟังต้องชอบใจและให้รางวัลมากมาย แต่การจะได้มาก็ไม่ใช่เป็นการขอเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการตอบแทนด้วยบทเพลงอันไพเราะและเสียงร้องอันแสนหวาน

“วันไหนเหนื่อย ยายก็พักวันไหนที่อดนอนได้ จะเดินขายทั้งคืน ค่อยมานอนตอนเช้า บางทีก็ไม่ได้นอน ปวดหลังปวดตัว บางทีก็ลุกขึ้นยาก แก่ขนาดนี้แล้ว จะไปทำอะไรได้”เธอบ่นถึงสภาพร่างกายที่เริ่มโรยรา 

คนหาบขาย หายสาบสูญ ตลอดกาล?

แม้จะเคยขายของบนรถไฟมานานและมีความผูกพันกับเสียงหวูดแผดเสียง แต่ก็ไม่คิดว่า อาชีพนี้จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง 

“กลับมาหรอ หึ ไม่ได้ ไม่มีคนขายหรอกอาชีพนี้จะไม่มีวันกลับมาได้อีก เพราะเป็นเรื่องยากที่คนจะขึ้นไปขายของบนรถไฟแบบเต็มขบวนเหมือนเมื่อก่อนได้อีก”เธอเล่าจากประสบการณ์

ไม่เพียงแต่แม่ค้าเท่านั้นที่เห็นแบบนั้น ผู้โดยสารก็มีความเห็นไม่ต่างกัน

“ไม่ดีกว่า เพราะบางวันบนรถไฟคนแออัด แล้วเวลาขึ้นรถไฟต้องทำเวลาหาที่นั่ง ถ้ามีคนขึ้นมาขายของอาจจะแออัดกว่าเดิมทำให้เสียเวลาตอนเดินหาที่นั่ง” ปราย พิมพ์นารา แสดงความเห็นถ้าอาชีพนี้กลับมา

“สำหรับผมเฉยๆ มีก็ได้ไม่มีก็ได้ บางทีก็อาจจะอยากให้มี เพราะมันเป็นวิธีหาเงินของเขา รายได้เขาอาจจะมีแค่ทางนี้”กอล์ฟ อนุชา เล่าถึงความรู้สึก

หากอาชีพนี้ไม่มีแล้วจริงๆ

“แม่ก็จะขายของแม่อยู่อย่างนี้แหละ ให้ไปเดินขอเงินยายรับไม่ได้ ยายไม่โอเค ขออยู่แบบนี้ดีกว่า”แม้จะไม่มีความหวังว่าโอกาสที่จะได้กลับมาขายของบนรถไฟได้อีก แต่เธอก็ยังยืนยันที่จะขายของต่อไปในวิธีที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา…

เกี่ยวกับผู้เขียน

เนื้อหาล่าสุด